เมนู

กุณฑลเกสวรรคที่ 3



กุณฑลเกสีเถรีอปทานที่ 1 (21)



[181] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมาร พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้
จบธรรมทั้งปวง เป็นนายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้น
แล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีอันมี
ความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่าง ๆ ในเมืองหังสวดี
เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสุขมาก
ดิฉันเข้าไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าพระองค์
นั้นแล้ว ได้ฟังธรรมอันอุดม มีความเลื่อมใส
เกิดในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ถึงพระองค์
เป็นสรณะ
ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้เป็นนายกพระ-
นามว่าปทุมุตตระ ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา
ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่ง ผู้มีปัญญาดีว่า เป็นผู้เลิศ
กว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายขิปปาภิญญา
ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้วมีความ
พอใจ ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่แล้ว ซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนา
ตำแหน่งนั้น

พระมหาวีรเจ้าทรงอนุโมทนาตรัสว่า
นางผู้เจริญ ตำแหน่งใดท่านปรารถนาแล้ว ตำ-
แหน่งนั้นทั้งหมดจักสำเร็จแก่ท่าน ท่านจงเป็น
ผู้มีสุขเย็นใจเถิด
ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดา
พระนามว่า โคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกาก-
ราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านผู้เจริญนี้จัก
ได้เป็นภิกษุณีธรรมทายาทของพระศาสดาพระ-
องค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวิกา
ของพระศาสดาชื่อว่าภัททากุณฑลเกสา
ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และ
ด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์
แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากภพนั้น
แล้วไปสู่ชั้นมายา จุติจากที่นั้นได้ไปสู่ชั้นดุสิต
จุติจากที่นั้นแล้วไปสู่ชั้นนิมมานรดี จุติจากที่นั้น
แล้วไปสู่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
ด้วยอำนาจกุศลกรรมนั้น ดิฉันเกิดใน
ภพใด ๆ ก็ได้ครองตำแหน่งอัครมเหสีของพระ-
ราชาในภพนั้น ๆ จุติจากภพนั้นแล้ว ได้ครอง
ตำแหน่งพระมเหสีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ และ
พระราชาที่เป็นเอกราชในหมู่มนุษย์

ดิฉันได้เสวยราชสมบัติในเทวดาและ
มนุษย์ เจริญด้วยความสุขทุก ๆ ภพ ท่องเที่ยว
ไปในกัปเป็นอเนก
ในภัทรกัปนี้พระพุทธเจ้าพระนามว่า
กัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพรหมมียศมาก ประ-
เสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกี
เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสีอันอุดม
เป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ดิฉันเป็นพระธิดาองค์ที่ 5 ของท้าวเธอ
มีนามปรากฏว่าภิกขุทาสี ได้ฟังธรรมของพระ-
พิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา. . .ด้วยกุศล
กรรมที่ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้
ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์
ในภพหลัง บัดนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี
ที่มีความเจริญ ในพระนครราชคฤห์อันอุดมเมื่อ
ดำรงอยู่ในความเป็นสาว ได้เห็นราชบุรุษนำโจร
ไปเพื่อจะฆ่า มีความรักในโจรคนนั้น บิดาของ
ดิฉันปลดเปลื้องโจรนั้น ให้หลุดพ้นจากการฆ่า
ด้วยทรัพย์พันหนึ่ง รู้จักใจดิฉันแล้ว ยกดิฉัน
ให้กับโจรนั้น ดิฉันรักใคร่เอ็นดูเกื้อกูลแก่โจร
นั้นมาก

แต่โจรนั้นพาดิฉันผู้ช่วยขนเครื่องบวง-
สรวงไปที่ภูเขามีเหวเป็นที่ทิ้งโจร คิดจะฆ่าดิฉัน
ด้วยความโลภในเครื่องประดับของดิฉัน เวลา
นั้น ดิฉันจะรักษาชีวิตของตัวไว้จึงประนมมือไหว้
โจรผู้เป็นศัตรูเป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า
นายผู้เจริญ สร้อยทองคำ แก้วมุกดา
และแล้วไพฑูรย์ เป็นอันมากทั้งหมดนี้ นายเอา
ไปเถิด และจงประกาศว่าฉันเป็นทาสีเถิด
แน่ะนางงาม จงตายเสียเถิด อย่ามัว
รำพันนักเลย เรามุ่งจะฆ่านางผู้มาถึงป่าแล้ว
ตั้งแต่ฉันระลึกถึงตัวได้ถึงความเป็นผู้รู้
ชัดแล้ว ฉันไม่รู้จักบุรุษอื่นว่าเป็นที่รักยิ่งกว่านาย
มาเถิด ฉันจักขอกอดนาย ทำประทักษิณแล้วจะ
ไหว้นาย เพราะนายกับดิฉันจะไม่ได้ร่วมกัน
ต่อไป
ในที่ทุกแห่ง ใช่ว่าบุรุษเท่านั้น จะเป็น
บัณฑิต ถึงสตรีเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในที่
นั้น ๆ และในที่ทุกแห่ง ใช่ว่าบุรุษเท่านั้นจะ
เป็นบัณฑิตคิดความได้ว่องไว ใช่ว่าบุรุษจะคิด
เหมาะสมในเรื่องเดียวเร็วพลัน ดิฉันฆ่าศัตรูได้
ในครั้งนั้น ก็เพราะเนื่องด้วยปัญญาเต็มอยู่ในจิต

ผู้ใดไม่รู้จักเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วไว ผู้นั้นมี
ปัญญาเขลา ย่อมถูกเขาฆ่า เหมือนโจรที่ถูกฆ่า
ที่เหวฉะนั้น
ผู้ใด รู้จักเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่องไว
ผู้นั้นก็พ้นจากพวกศัตรู เหมือนดิฉันพ้นจากโจร
ที่เป็นศัตรูในครั้งนั้น ฉะนั้น
เมื่อดิฉันผลักศัตรูให้ตกไปในเหวแล้ว
เข้าไปบวชในสำนักปริพาชกที่ครองผ้าขาว
ครั้งนั้น พวกปริพาชกเอาแหนบถอนผม
ดิฉันหมดแล้ว ให้บวชแล้วบอกลัทธิให้เนือง ๆ
ดิฉันเรียนลัทธินั้นแล้ว นั่งคิดลัทธินั้นอยู่ผู้เดียว
ว่า คณะปริพาชกเป็นดังว่าสุนัข ทำกะเราซึ่งเป็น
มนุษย์ ถือเอากิ่งหว้าที่หักแล้วปักไว้ ณ ที่ใกล้เรา
แล้วก็หลีกไป ดิฉันเห็นแล้วได้นิมิต ที่ตั้งอยู่
เหมือนเป็นหมู่หนอน
ดิฉันลุกจากที่นั้นแล้ว มีความสลดใจ
มาถามพวกปริพาชกที่มีลัทธิร่วมกัน พวกนั้นบอก
ว่า พวกภิกษุศากยบุตรย่อมรู้เรื่องนั้น
ดิฉันเข้าไปหาพุทธสาวกแล้วถามเรื่องนั้น
พุทธสาวกเหล่านั้น พาดิฉันไปในสำนักพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐ

พระองค์ผู้เป็นนายกของโลก ทรงแสดง
ธรรมแก่ดิฉันว่า ขันธ์อายตนะและธาตุทั้งหลาย
ไม่งาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ดิฉันได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ยัง
ธรรมจักษุให้หมดจดวิเศษ รู้สัทธรรมแล้ว ได้
ทูลขอบรรพชาอุปสมบท
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้า อันดิฉันทูลขอ
แล้ว ได้ตรัสว่า มาเถิด นางผู้เจริญ ดิฉัน
อุปสมบทแล้ว ได้เห็นน้ำน้อยหนึ่ง
รู้จักสังขาร อันมีความเกิดและความดับ
ด้วยน้ำล้างเท้า คิดเห็นว่า สังขารทั้งปวงย่อม
เป็นอย่างนั้น
ลำดับนั้น จิตของดิฉันพ้นแล้วเพราะไม่
ถือมั่นโดยประการทั้งปวง ครั้งนั้น พระพิชิตมาร
ทรงตั้งดิฉันว่าเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุณีทั้งหลาย
ฝ่ายขิปปาภิญญา
ดิฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์และทิพ-
โสตธาตุ รู้วาระจิตผู้อื่น เป็นผู้ทำตามสัตถุศาสน์
รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุบริ-
สุทธิ์ ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เป็นผู้บริสุทธิ์
หมดมลทินด้วยดี

ดิฉันบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติพระ-
พุทธศาสนาเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว
ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว
ดิฉันบรรลุถึงประโยชน์ คือธรรมเป็นที่
สิ้นสังโยชน์ ที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกบวชเป็น
บรรพชิตต้องการนั้นแล้ว ญาณของดิฉัน ใน
อรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณไพบูลย์หมดจด
เพราะอำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.

ทราบว่า ท่านพระภัททากุณฑลเกสีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบกุณฑลเกสีเถรีอปทาน

กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ 2 (22)


[162] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบ
ธรรมทั้งปวง เป็นนายกของโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลหนึ่งในพระนคร
หังสวดี เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่า
นรชนพระองค์นั้นแล้ว ถึงพระองค์เป็นสรณะ